Startup เป็นคำที่คนเริ่มกลับมาพูดกันอีกครั้ง เพราะเนื่องจาก มีหนังซีรี่ย์เกาหลี ที่ชื่อว่า Startup ออกมา ทำให้มีผู้ติดตามธุรกิจแนวนี้มากขึ้น ซึ่งส่วนตัวสาระรีฟ ยังไม่ได้ดูครับ แต่จะออกมาพูดในเชิงของโลกแห่งความเป็นจริง ของคนที่ทำธุรกิจด้านนี้จริงๆ อย่างน้อยๆ ก็จะเกือบ 10 ปีได้แล้ว โดยที่ไม่เคยคิด จะเข้าในระบบงานเหมือนเพื่อนๆ ในรุ่นที่จบ
หากใครที่คิดว่า ทำ Startup แล้วเท่ห์ บอกเลยครับ ข้างหลังมีน้ำตาซ่อนอยู่เป็นกะละมังเลยครับ ซึ่งบทความนี้สาระรีฟ จะมาแบ่งปันกันว่า ทำไมคนที่อยากทำธุรกิจแนวนี้ เพื่อที่จะเท่ห์ และรวยเหมือนที่เราเห็นในสื่อกัน จริงๆ แล้ว หากเราลงมาทำจริง เราจะเจออะไรบ้าง เนื้อหานี้เอามาจากประสบการณ์ตัวเองล้วนๆ เลยครับ
เริ่มจากความฝันอันสวยงาม
ช่วงที่สาระรีฟ เริ่มธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ๆ ในช่วงสัก 8 ปีที่แล้วได้มั้ง (2555) ตอนนั้นฝันใว้ใหญ่มาก อยากจะทำระบบที่แบบคนใช้งานกันเยอะๆ ได้ขึ้นเวที Pitch งาน โดยที่หากเราไปที่ใหนก็อยากให้มีแต่คนชื่นชมในผลงาน พูดง่ายๆ พยายามสร้างชื่อให้ตัวเองอยู่นั่นแหละ
เริ่มจากการที่สาระรีฟ ตัดสินใจลาออกจากการเป็นพนักงานประจำก่อนเลย ที่ทำงานได้เพียง 8-9 เดือน หลังจากจบปริญญาตรี โดยที่ตัวได้งานตั้งแต่เรียน โดยมีบริษัทมาเชิญตัวไปทำงาน ซึ่งเงินเดือนตอนนั้นก็เริ่มต้นมากกว่าเพื่อนในรุ่น เลี้ยงตัวเองได้เลยนะ แถมมีที่เหลือเก็บต่ำ ๆ 30-40% ของเงินเดือนเลย (อาจจะเพราะตัวเองไม่ได้ใช้เงินเยอะด้วยแหละ)
หลังจากการลาออก ก็ได้มาเข้ากับศูนย์บ่มเพาะ ของมหาลัยเดิมที่จบ ซึ่งเขาให้ห้องทำงานฟรี ค่าน้ำ ค่าไฟไม่ต้องจ่าย ขอแค่มาทำบริษัทที่นี้ โดยห้องพวกนี้แทบไม่มีใครมาใช้บริการเลย เพราะส่วนมากนักศึกษาไม่ค่อยนิยมมาทำกิจการกัน นี้เลยจุดเป็นมหากาพย์แรก ที่เรียกว่า “มหากาพย์แห่งน้ำตา” ที่เริ่มบริบทเริ่มต้นของชีวิตเลยก็เป็นได้
หาทีมงาน
พอสาระรีฟ ได้ออฟฟิซมาทำงานแล้ว ก็เริ่มปั่นโปรเจ็คกันเลย ด้วยการทำระบบโรงเรียน ที่อยากให้โรงเรียนมาใช้งานระบบกันเยอะๆ โดยรูปแบบของการหารายได้ที่เราคิดนี้ เอามาคูณกับจำนวนผู้ใช้นี้ แบบตาลุกวาว พร้อมต้องร้องอุทานว่า … โอ้วเชี้ย! รวยโคตรๆ (อันนี้พูดจริง)
สิ่งที่เราทำตอนแรก คือ เปิดคอม แล้วเริ่มปั่นโปรเจคกันเลย ด้วยวิธีการเขียนโปรแกรมมันซะเลย .. สาระรีฟลืมบอก ตัวเองจบด้านวิศวกรรมซอฟต์แวร์ สามารถเขียนโปรแกรมได้ด้วยตัวเองได้เลย นั้นเลยเป็นจุดที่สามารถเริ่มต้นสิ่งที่ทำจากตัวคนเดียวได้ก่อนเป็นอันดับต้น
พอเริ่มทำได้สักพัก เริ่มรู้จักสตาร์ทอัพ เลยรู้สึกว่าตัวเองต้องเอาสิ่งที่ทำอยู่ออกมาจากห้องทำงานได้แล้วแหละ มาให้คนอื่นได้เห็นบ้าง จะได้มีการแนะนำบอกต่อได้ นั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นของการ พาตัวเองออกมา Pitching ในสนามแข่งต่างๆ ซึ่งจากเดิม แต่ละวันก็นั่งคุยกับคอม โดยมีกิจวัตรประจำวันคือ ตื่นเช้า 08.00 ทำงานถึง 22.00 กินข้าว แล้ววนแบบนี้ทุกวัน โดยที่ไม่เคยคิดถึงวันหยุดเลย
พอออกมา Pitch เริ่มรู้ว่า เราต้องมีทีมงานบ้างแล้ว เลยหาเพื่อนๆ ที่จบมาด้วยกันนี้แหละชวนมาทำงาน แลกกับหุ้นไป เราก็ออกไปแข่งขันต่อ จนได้รางวัล กับเงินก้อนมาส่วนหนึ่งในการสเกล พร้อมทั้งลูกค้ารายแรกๆ จากคนแนะนำให้มาใช้งานระบบเราพัฒนาขึ้น
ที่สำคัญ ทีมที่ได้เกือบทุกคน ทำงานประจำกันหมด โดยสาระรีฟคุยกันว่า ไม่เป็นไร สาระรีฟลุยเดี่ยวเอง แต่ละคนค่อยมาทำช่วงเวลาว่างๆ เพราะตอนนี้ระบบมันกำลังไปในทิศทางที่ดี ถ้ามีคนมาร่วมงานก็จะทำให้ไปใกล้ฝันมากขึ้น โดยที่เงินเดือนเราจะไม่เอาก่อนนะ ค่อยสะสมเงินก่อน มีเงินแล้วเดี๋ยวมาทำเป็นเงินเดือนเอาหลังจากนั้น
ช่วงเติบโต
ตอนนั้นระบบเติบโตมาก สาระรีฟ เริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น คุยกับลูกค้าง่ายขึ้น จากผลงานที่ไปร่วมงานต่างๆ อย่างเยอะ ทำให้เรามีโรงเรียน กับผู้ใช้งานเข้ามาใช้เยอะมาก ตอนนั้นในฐานข้อมูลมีโรงเรียนใช้งานก็น่าจะราว 200 กว่าโรงเรียนได้แหละมั้ง ที่เข้ามาสมัครสมาชิก
เงินก้อนแรกที่ไม่ใช่รางวัลเราก็เริ่มได้มา จากลูกค้ากลุ่มแรกที่ยอมจ่ายค่าระบบนิดหน่อย แต่คอนเซ็ปเราตอนนั้นคือ ให้ใช้งานฟรี แล้วค่อยไปเก็บเงินจากรูปแบบอื่น เมื่อระบบโตถึงระดับหนึ่ง ซึ่งทิศทางของระบบมันกำลังไปได้ด้วยดีเลยแหละ
เข้าแข่งขันรายการ กวาดรางวัล
พอระบบเริ่มโต เราก็เริ่มส่งแข่งเรื่อยๆ เพื่อคาดหวังจากจะได้การระดมทุน เหมือนสตาร์ทอัพเจ้าอื่นๆ กันบ้าง เพื่อที่จะได้ออกข่าวในแนว SchoolOS สตาร์ทอัพเด็ก 3 จังหวัดชายแดนใต้ ได้รับการลงทุนจากบริษัท ABC 2 ล้านบาท (อารมณ์ที่คิดคือแบบนั้น)
สาระรีฟ ส่งแข่งขันสตาร์ทอัพใหญ่ๆ ในสมัยนั้นเยอะแยะ ได้รางวัลบ้าง ไม่ได้บ้าง ซึ่งตอนนั้นตัวเองก็ยังเป็นโปรแกรมเมอร์อยู่ คือทำทั้งบริหาร พร้อมทั้งเขียนโปรแกรมเองด้วยในเวลาเดียวกัน โดยแบ่งงานกลางวันไป Pitch กลางคืนมา Dev
ภาพลักษณ์ที่ออกไปว่าเป็น CEO เอาเข้าจริงแทบไม่ได้ทำส่วนนี้เลย เพราะความรู้การตลาดก็ไม่มี การเงินก็ไม่เก่ง เป็นอย่างเดียวคือ เขียนโปรแกรม กับออกไปแข่ง เงินรายได้ก็แทบจะไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเลย กลายเป็นว่าการส่งแข่งนี้เป็นงานหลักไปเลย
เริ่มท้อ ไม่รู้จะไปทางใหนต่อ
ระบบเริ่มโต งานที่เริ่มทำ ค่าใช้จ่ายเริ่มมากขึ้น ทั้งค่า Server ค่าเดินทาง ค่าอื่นๆ อีกเยอะแยะ จนทำให้เรารู้สึกว่า เงินเริ่มหมดแล้วจากบัญชี ความท้อก็เริ่มรู้สึกกัดกินตรงที่ว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ทำอยู่คืออะไรวะเนี่ย เหมือนใช้ชีวิตผ่านไปวันๆ เลย คนข้างนอกมองว่าเราโคตรเจ๋ง มีแต่คนชื่นชมว่า สุดยอดเลยว่ะ ไอด้อลเลย หรืออะไรก็ว่าแต่
จนรู้สึกว่า ไม่ได้แล้วเนี่ย หากตัวเองยังทำแบบนี้ต่อไป ชีวิตแย่ลงแน่ๆ ตลอดเวลา 2 ปีที่ทำมา เงินเดือนก็ไม่ได้เลย (มาให้เงินเดือนตอนหลังๆ ก่อนปิดบริษัท) ที่เดือนละ 8000 บาท จนแบบไม่ไหวแล้ว ต้องหาทางสักอย่างแล้วแหละ ไม่งั้นอายุมากขึ้น กลับไปสมัครงานก็จะยากขึ้นเหมือนกัน
ทีมแตก ปิดบริษัท ล้มไม่เป็นท่า
ความรู้สึกนี้ เริ่มทวีคูณมากขึ้น จากที่ตัวเองลงงานอยู่คนเดียว โดยที่ทีมที่เราคาดหวังทำช่วงเวลาว่าง กลับกลายเป็นไม่ว่างทำ ซึ่งเราทำเองเสร็จเร็วกว่า แถมเงินเดือนที่เราได้ก็น้อยนิด ซึ่งจากที่ทีมงานคนอื่นมีงานส่วนตัวของตัวเองอยู่แล้ว เขาไม่น่าจะลำบากเรื่องการเงินเท่าเรา เลยตัดสินใจ เราปิดบริษัทกันดีกว่า เพราะทำแล้วไม่มีชีวิตดีขึ้นเลย
พอมามอง เพื่อนรอบตัว แต่ละคนก็เริ่มมีฐานะ ตำแหน่งขึ้นกันก็เยอะ แต่พอมาดูตัวเองเหมือนย่ำอยู่กับที่เลยว่ะ ซึ่งกลายเป็นว่า เป้าหมายที่เราตั้งใว้ตอนแรกสำเร็จแล้วที่อยากได้ คือ ตัวเองมีผลงานเยอะมาก แต่ไม่มีเงินจะกิน นั้นเลยเป็นจุดที่เป็นมหากาพย์แรกที่สาระรีฟ มาเล่าคือ
อยากทำ Startup เพราะอยากเท่ห์ ถ้างั้นอย่าริจะทำตั้งแต่แรกจะดีกว่า (เตือนใว้แล้วน้า) สำหรับมหากาพย์ต่อไป จะเป็นเรื่อง ทำ Startup หวังรวย อย่าคิดที่จะทำ
สุดท้ายแล้ว หากใครอยากถาม หรือพูดคุย Add Line (คลิ๊ก) หรือ ทัก Chat Facebook (คลิ๊ก) แล้วแต่สะดวกได้เลย มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับ หวังว่าเนื้อหานี้คงจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ
สำหรับใครที่สงสัยว่า สาระรีฟ คืออะไรสามารถอ่านได้ ที่นี่เลยครับ สาระรีฟ.com ส่วนนี้จะอธิบายว่าบทความต่าง ๆ ที่จะมาแชร์กันมีเรื่องอะไรกันบ้าง หวังว่าจะได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
ABOUT THE AUTHOR
Sharif Densumite
กูรูแวดวง Start up และ SMEs ผู้ก่อตั้ง "Pinsouq" ตลาดซื้อขายสินค้าฮาลาล (Halal Marketplace)ที่ รวบรวมสินค้าฮาลาลมากกว่า 1 แสนรายการ เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ สาระรีฟ เพจข่าวสารการตลาดออนไลน์ ในแวดวงธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ
Comentarios